1. อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น
2.เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น
หรือกรณีเงินเฟ้อ ก็อธิบายได้ง่ายๆว่าในเมื่อต้นทุนค่าแรงสูงขึ้น โรงงานก็ต้องขึ้นราคาสินค้าเพื่อให้ได้กำไรเท่าเดิม หรือ ต่อให้โรงงานไม่ขึ้นราคาสินค้า ค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้น ก็จะทำให้ “ค่าเสียโอกาส” ของคนอีกหลายกลุ่มเพิ่มขึ้น เพราะ “ค่าแรง” ก็คือ “ราคา” อย่างนึง แถมเป็นราคาต่ำที่สุดที่เป็น ฐานของเศรษฐกิจทั้งระบบ
จากกรณีที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมทำให้เกิดเงินเฟ้อแบบผสม (Mixed Inflation) เป็นเงินเฟ้อที่เกิดจากทั้งอุปสงค์รวมสูงขึ้น (Demand-Pull Inflation) และอุปทานรวมลดลง(Supply-Push Inflation)เนื่องมาจาก
- เมื่อคนงานถูกขึ้นค่าแรงให้สูงขึ้นเพื่อชดเชยรายได้ที่แท้จริง ทำให้อุปสงค์รวมของสินค้าสูงขึ้น(AD สูงขึ้น) ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นด้วย
- ขณะที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ย่อมทำให้ ( AS ลดลง )

1.การเพิ่มค่าแรงให้ลูกจ้าง ลูกจ้างจึงมีเงินเพิ่มขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นลูกจ้างมีกำลังในการจ่ายเพิ่มขึ้น (เกิด Demand curve shift สูงขึ้น) จะเห็นได้ว่าราคาดุลยภาพ จะขึ้นไปอยุ่ที่จุด E2จากจุดE1 และเพิ่มขึ้นจนถึงจุดE3 ณ ระดับการจ้างงานเต็มที่
2.แต่นายจ้างหรือผู้ประกอบการ ต้องแบกภาระต้นทุนด้านค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้น ทำให้นายจ้างจำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิต ด้วยการลดจำนวนพนักงาน(เกิดปัญหาการว่างงาน) นั่นหมายถึงกำลังการผลิตเต็มที่ย่อมลดลง ดังนั้น ความต้องการขายจึงลดลง (supply curve จะต้องshift ลง)จาก AS1 เป็น AS2 ดังนั้นราคาดุลยภาพจึงขึ้นไปที่จุดE4
จะเห็นได้ว่า2เหตุการณ์ข้างต้นราคาของ มีแต่จะเพิ่มขึ้น เนื่องมาจากผู้ประกอบการสามารถผลักภาระราคาต้นทุนสูงให้ผู้บริโภคได้ และกรณี Demand curve shift สูงขึ้นอีก ราคาจะยิ่งเพิ่มสูงมากกว่ามาก เนื่องมาจาก กำลังการผลิตเต็มที่ จะอยู่ที่จุด Q3 เท่านั้น
หรือยกตัวอย่างที่ผู้ประกอบการไม่ได้ผลักภาระราคาต้นทุนสูงให้ผู้บริโภค เช่น
สมชายทำงานโรงงาน ได้เงินวันละ 150 บาท ซื้อส้มตำกินทุกวัน
สมศรี ขายส้มตำรถเข็นอยู่หน้าโรงงานทุกวัน หักลบกลบหนี้แล้วได้กำไรวันละ 250 บาท
อยู่มาวันนึง สมชาย ได้เงินเพิ่มเป็นวันละ 300 บาท – สมศรี เลยคิดหนัก เพราะจะเหนื่อยลงทุนลงแรงขายส้มตำทำไม ในเมื่อเลิกขายแล้วไปทำงานโรงงานก็ได้ 300 บาทมากกว่าเดิมอีก แล้วไหนจะค่าจ้างที่จ่ายให้เด็กล้างจานที่ต้องเพิ่มให้เขาด้วย ไม่งั้นเขาก็ออกไปทำโรงงานเหมือนสมชาย
สมศรี มีสองทางเลือก คือ 1.ขึ้นราคาส้มตำให้สมกับ “ค่าเสียโอกาส” ของตัวเอง หรือ 2.เลิกขายส้มตำ ไปทำงานโรงงานแทน
ทั้งสองทางเลือก ล้วนทำให้ราคาส้มตำ “เฟ้อ” เพราะอย่างแรกส้มตำแพงขึ้น ส่วนอย่างหลังคือ supply ส้มตำลดลง ดังนั้นส้มตำจะหายากขึ้น สมชายมีเงิน แต่ไม่มีส้มตำกิน ย่อมส่งผลให้ผู้ประกอบการขายส้มตำรายอื่นสามารถขึ้นราคาส้มตำได้ เนื่องมาจาก ความต้องการ demand curve ที่มากขึ้น แต่supply ลดลง
จะเห็นว่าทั้งสองกรณีทำให้ “ราคาส้มตำเฟ้อ” โดยที่ “นายทุน” โรงงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ
1.อำนาจการซื้อลดลง
- ก๋วยเตี๋ยวราคาชามละ 50-60 บาท จากเดิมชามละ30บาท
2.การออมและการลงทุนลดลง
- เนื่องมาจากเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายลดลง เพราะของแพง ทำให้ธนาคารมีเงินที่จะปล่อยกู้น้อย ส่งผลให้ดอกเบี้ยสูง และการลงทุนจึงลดลง
3.การกระจายรายได้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น
-นักเก็งกำไร ลูกหนี้ จะได้เปรียบ ส่วนผู้มีรายได้ประจำ เจ้าหนี้ จะเสียเปรียบ
4.ฐานะการคลังของรัฐบาลแย่ลง
-เนื่องจากรายได้ส่วนใฟญ่มาจากการเก็บภาษี แต่เนื่องจากการลงทุนลดลง ทำให้ภาษีที่ได้มีค่าลดลงด้วย
5.การส่งออกของประเทศลดลง การนำเข้าเพิ่มขึ้น
-เนื่องจากการลงทุนในประเทศลดลง ทำให้สินค้าบางอย่างขาดแคลน จึงต้องมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศแทน
จากนโยบาย 300 บาท ส่งผลให้ ลูกจ้างมีกำลังซื้อมากขึ้น แต่ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย ดังนั้นรัฐบาลสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้โดยการ
1.ใช้นโยบายการเงิน
- เพิ่มสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ(ดอกเบี้ยลดลง) ย่อมส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง จึงทำให้เกิดความต้องการขายทั้งประเทศสูงขึ้น( AS curve เพิ่มสูงขึ้น)
2.ใช้นโยบายการคลัง
-ลดภาษีผู้ประกอบการที่ให้ค่าแรง300บาท ย่อมส่งผลให้ต้นทุนลดลง ดังนั้น AS curve เพิ่มสูงขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น